“หรือแท้จริงแล้ว ความทะเยอทะยานของมนุษย์ผู้ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ ที่ไม่เคยมีผู้ใดกล้าละเมิด
อาจเป็นภาพสะท้อนแก่นสารธรรมชาติของมนุษย์ ― โหยหาอิสรภาพ ต่อต้านอำนาจร้อยรัดพันธนาการ
แม้จะตระหนักว่าสิ่งที่วาดหวัง อาจเป็นคำสาปที่นำหายนะ ย้อนคืนมาสู่ตนก็ตาม”
เมื่อปีพ.ศ.2557 หลังการรัฐประหารยึดอำนาจโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ไม่นาน ประเด็นเปราะบางตามนิยามของรัฐบาลทหารได้กินความกว้างขวาง และคลุมเครือ กระทบกับเสรีภาพในการสื่อสารโดยตรง ในเวลานั้น ขณะยังคงเป็นนักศึกษา ศิลปิน พัทธ์ ยิ่งเจริญ ได้ทดลองสร้างสรรค์งานจิตรกรรมผ่านการประกอบภาพทางประวัติศาสตร์ที่อาจไม่ได้เกี่ยวข้องกันโดยตรงเข้าด้วยกัน ผลงานของพัทธ์ ยิ่งเจริญจึงสามารถสื่อสารถึงบางประเด็นที่เปราะบาง และยากจะวิพากษ์วิจารณ์ ได้อย่างค่อนข้างอิสระตามไปด้วย จากเพียงงานทดลองจึงถูกพัฒนาให้มีความสมบูรณ์ และซับซ้อนมากขึ้นกระทั่งเกิดเป็นผลงานชุด Apocalypse, Myth, Sacred Punishment, Celebration of Flesh and Blood, La Tragedia, Obscurum, Blue Rhapsody จนถึงผลงานชุดปัจจุบันอย่าง Montage ตามลำดับ
"Montage" นิทรรศการเดี่ยวครั้งที่ 6 กับการกลับมาของศิลปิน พัทธ์ ยิ่งเจริญ ศิลปินผู้เป็นที่ยอมรับทั้งในไทยและต่างประเทศ การกลับมาในนิทรรศการครั้งนี้สามารถแปลความอย่างง่ายว่า “การตัดต่อ ปะติด ทับซ้อนภาพ” ในแง่นี้ มันจึงไม่ใช่นิทรรศการที่มุ่งนำเสนอประเด็นเฉพาะอย่างนิทรรศการทั้ง 5 ครั้งก่อนหน้า นิทรรศการครั้งนี้เป็นเหมือนการย้อนกลับไปทบทวนเพื่อหาบทสรุปของกระบวนการทางจิตรกรรมของพัทธ์ ยิ่งเจริญตลอดร่วมทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งอาจจำกัดความได้ว่า มันเป็นการประกอบเศษซากทางประวัติศาสตร์ ที่สิ้นลมหายใจแห่งยุคสมัยของมันไปนานแล้ว ให้ฟื้นตื่นจากความตายขึ้นมาสื่อสารบางเรื่องที่ถูกห้าม ไม่ให้เอื้อนเอ่ยด้วยถ้อยคำอย่างตรงไปตรงมาผ่านปากของคนเป็น และในอีกทางหนึ่ง เมื่อพ้นไปจากมือของผู้สร้าง ผลงานแต่ละชิ้นก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อแสวงหาความหมายในการมีอยู่ของตัวมันเอง และ ก่อให้เกิดบทสนทนาที่จะตกตะกอนอยู่ในความทรงจำของผู้ที่มารับชมต่อไป
information provided by event organizer
MORE LIKE THIS