"Only I Am You, Then I Became You" คือนิทรรศการเดี่ยวครั้งแรกของศิลปิน จาจา ฉี ในประเทศไทย โดยได้รับการสนับสนุนจาก Mondriaan Fonds, Prins Bernhard Cultuurfonds และสถานเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย ซึ่งได้นำเสนอผลงานทั้งเก่าและใหม่ที่คัดสรรอย่างมีแนวคิด นิทรรศการนี้สานต่อการสำรวจเชิงศิลปะของเธอเกี่ยวกับแนวคิด “site-specific” หรือการสร้างงานที่ตอบสนองต่อบริบทของพื้นที่ กระบวนการสร้างสรรค์ที่ตั้งคำถามถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างพื้นที่ สภาพแวดล้อม และประสบการณ์ของปัจเจก
แนวทางการทำงานของจาจาเต็มไปด้วยความละเอียดอ่อนต่อความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นจากการปฏิสัมพันธ์เหล่านี้ โดยแนวคิดเรื่อง “ความลื่นไหล” “ความผูกพัน” และ “ความคลุมเครือ” ถือเป็นภาษาศิลปะสำคัญในผลงานของเธอ ซึ่งฝังลึกอยู่ภายในตัวชิ้นงาน และสะท้อนถึงจุดตัดของประสบการณ์ชีวิตส่วนตัวกับคำถามเชิงอัตถิภาวนิยมในระดับกว้าง ขณะเดียวกันยังเปิดพื้นที่ให้วิพากษ์ต่อแนวคิดเรื่องตัวตน พื้นที่ และการรับรู้ที่ตายตัว
นิทรรศการนี้ได้รับแรงบันดาลใจอย่างลึกซึ้งจากแนวคิด “nomadic thought” ของนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส ฌียส์ เดอเลอซ และ เฟลิกส์ กัตตารี ซึ่งเสนอว่า “คนเร่ร่อน” ดำรงอยู่นอกกรอบประวัติศาสตร์ที่ถูกทำให้ตายตัว และมีการเคลื่อนไหวในเชิงพื้นที่ที่ไม่ยึดติดกับขอบเขตของรัฐหรือสถาบัน หากแต่ดำเนินอยู่ในกระบวนการของ “การเป็นไป” ที่ไม่สิ้นสุด
นิทรรศการนี้จึงรับเอากรอบความคิดแบบเร่ร่อนมาเป็นจุดตั้งต้น เพื่อท้าทายโครงสร้างของเรื่องเล่าเชิงเส้นตรง และก้าวข้ามโครงสร้างของเวลาและพื้นที่ที่พันธนาการกันไว้แน่นหนา เป้าหมายคือการจินตนาการใหม่ถึงพลวัตระหว่างตัวตนกับโลก โดยการถอดถอนคำอธิบายและกรอบแนวทางที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
นิทรรศการนี้เปิดพื้นที่ทางความคิดที่ไม่จำกัด และตั้งคำถามต่ออำนาจนำของ “ความตายตัว” และ “ระเบียบ” ที่ครอบงำอยู่ในโลกศิลปะ พร้อมเชื้อเชิญให้ผู้ชมเข้าถึงงานผ่านประสบการณ์ของประสาทสัมผัส แทนที่จะเป็นการวิเคราะห์ทางเหตุผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านการรับรู้ที่แฝงอยู่ในรายละเอียดเล็กๆ ของความคลุมเครือ ความไม่อาจระบุ และความขัดแย้งภายใน สิ่งเหล่านี้คือทางผ่านไปสู่การสะท้อนภาวะการดำรงอยู่ ภาษา และความหมายในระดับลึก
แก่นของนิทรรศการนี้ทำงานในฐานะการฝึกภาวะทบทวนภายในอย่างมีวิจารณญาณ บริบททางสังคมและประวัติศาสตร์ที่เราดำรงอยู่ รวมถึงกรอบวัฒนธรรมที่เรายึดถือ ได้สร้างอิทธิพลต่อความเข้าใจของเราที่มีต่อความเป็นจริงอย่างไร? ผลงานที่นำเสนอในนิทรรศการนี้ไม่ได้มุ่งแสดงภาพแทนของความจริง หรือเป็นการสื่อสารตรงๆ ของวัตถุ หากแต่ทำหน้าที่เป็นกระบวนการเปิดเผยอย่างต่อเนื่องต่อความซับซ้อนและความไร้เหตุผลที่ซ่อนอยู่ใต้พื้นผิวของความคุ้นเคย ผลงานเหล่านี้ชักชวนให้ผู้ชมก้าวข้ามความเข้าใจผิวเผิน และเข้าสู่พื้นที่แห่งการรับรู้เชิงประสบการณ์และการใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง
จาจายังคงยึดมั่นในกระบวนการทำงานที่เน้นการสังเกต การวัด และการทดลองภายในพื้นที่จัดแสดงอย่างพิถีพิถัน ทำให้ผลงานปรากฏตัวขึ้นได้อย่าง “เป็นธรรมชาติ” ขณะเดียวกันก็ยังคงความหลากหลายที่ไม่เป็นเนื้อเดียวกัน ผลงานเหล่านี้ไม่ใช่ถ้อยแถลงสุดท้าย หากแต่เป็นจุดเริ่มต้น เสมือนหมากในกระดานโกะที่ปฏิเสธการมีตัวตนตายตัว และมีความหมายเฉพาะเมื่อวางอยู่ในบริบทที่มันปรากฏ แม้แต่ละชิ้นจะดำรงอยู่อย่างอิสระ แต่พวกมันก็เชื่อมโยงกันในแนวระนาบ แสดงออกถึงวิถีการดำรงอยู่แบบ “เร่ร่อน” ที่เลื่อนไปมาระหว่างจุดตายตัว แทรกซึมเข้าสู่สิ่งไม่รู้จักผ่านรอยร้าวและช่องว่าง ค่อยๆ กัดกร่อนโครงสร้างและขอบเขตเดิมที่เคยมีอยู่
ผลงานแต่ละชิ้นสร้างศูนย์กลางของตนเองขึ้น ขณะเดียวกันก็เอื้อมออกไปหากันและกัน ก่อรูปภาวะการดำรงอยู่ที่ไม่ใช่ทั้งสิ่งที่อยู่ภายในโดยสมบูรณ์ และไม่ใช่สิ่งที่อยู่นอกออกไปอย่างสิ้นเชิง กระบวนการของการมีปฏิสัมพันธ์ การหลอมรวม และการสลายตัวนี้ ทำให้ผลงานร่วมกันสร้างเครือข่ายที่ลื่นไหลและไร้ร่องรอย พร้อมเชื้อเชิญให้เราก้าวข้ามจากการตีความไปสู่การรู้สึก จากความแน่นอนไปสู่การแปรเปลี่ยน และผ่านการรื้อถอนสิ่งที่คุ้นเคย สู่การสำรวจอิสรภาพแบบเร่ร่อน และศักยภาพแห่งการก่อเกิดที่ไม่สิ้นสุด
นิทรรศการเปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน – 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 ที่ชั้น 2 และ 3 ของ SAC Gallery ขอเรียนเชิญทุกท่านร่วมงานเปิดนิทรรศการในวันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2568 เวลา 18.00–21.00 น. เข้าชมฟรี และเปิดโอกาสให้พบปะพูดคุยกับศิลปิน ภัณฑารักษ์ และผู้ที่สนใจศิลปะร่วมสมัย
information provided by event organizer